วันอังคาร, กรกฎาคม 03, 2550

เปลี่ยนวิกฤตให้เป็นโอกาส (อีกครั้ง)

เวลาผ่านไปเดี๋ยวเดียว ใครจะไปนึกว่า วิกฤติภาวะฟองสบู่แตก จนรัฐบาลต้องประกาศลอยค่าเงินบาท เมื่อวันที่ 2 กรกฏาคม 2540 จะผ่านไปนานถึง 10 ปีแล้ว จนถึงวันนี้ กรฏาคม 2550 เวลานี้ หลายคนก็ยังรู้สึกหวั่นใจว่า เหตุการณ์เลวร้ายเมื่อสิบปีก่อน จะกลับมาตามหลอกหลอนอีกครั้ง แต่เมื่ออ่านคำวิจารณ์ของนักวิชาการด้านการเงิน หรือ อาจารย์ต่างๆ ที่ออกมาแสดงความคิดเห็น หลายคนพูดเป็นเสียงเดียวกันว่า เมืองไทย คงไม่ประสบกับภาวะฟองสบู่แตกอีกแล้ว เพราะโครงสร้างทางเศรษฐกิจของไทยเปลี่ยนแปลงไปมากในช่วงสิบปีทีผ่านมา

แต่ถ้าเราลองไปถามบรรดาพ่อค้า นักธุรกิจตามหัวเมืองต่างๆ ดู ความรู้สึกที่ได้จะแตกต่างจากจากบรรดานักวิชาการโดยสิ้นเชิง เพราะต่างพูดเป็นเสียงเดียวกันว่า ภาวะทางเศรษฐกิจกำลังแย่มาก กำลังซื้อในต่างจังหวัดแทบจะไม่มีเลย หลายคนบ่นกันมาก ว่าเงินในตลาดหายไปไหนหมด บรรดาเถ้าแก่ใหญ่ๆ อย่าง เจ้าของมาม่า ยังออกมาบ่นเสียงดังๆ เลยว่า ตั้งแต่ทำธุรกิจมา ไม่เคยเจอภาวะแบบนี้มาก่อน แม้กระทั้งเมื่อสิบปีที่แล้ว ก็ยังดีกว่านี้ มองไปที่บรรดาผู้ขายรถยนต์ ต่างก็บอกกันว่า ยอดขายรถยนต์ตกลงอย่างมาก ไม่รู้จะแก้ไขให้ดีกลับมาเป็นเหมือนเดิมได้อย่างไร ?

เมื่อพวกเราส่วนใหญ่ทำการค้ากัน และทำเป็นอยู่อย่างเดียว จะให้ไปทำอย่างอื่นก็คงไม่ได้ ดังนั้น หนทางเดียวที่เหลืออยู่ ก็คือ เปลี่ยนวิกฤตให้เป็นโอกาสเสียเลย ถ้าจะบอกว่า บริษัท Nokia เจ้าพ่อแห่งวงการโทรศัพท์มือถือในปัจจุบันนี้ เมื่อร้อยกว่าปีก่อน ธุรกิจที่บริษัทนี้ทำคือ บริษัททำไม้ หรือที่เราเรียกกันว่า โรงเลื่อย คุณจะเชื่อไหม

Nokia เป็นบริษัทที่มอายุยืนมากว่า 100 ปีแล้ว ตอนเปิดบริษัทใหม่ๆ ประเทศของเขามีแต่ป่าไม้เท่านั้น ที่ทำได้ บริษัททำมาเรื่อยๆ จนป่าแทบหมด และไม่รู้จะหันหน้าไปทำธุรกิจอะไรแล้ว จึงหันมารวมหัวกันเพื่อหาธุรกิจใหม่ ที่จะนำพาบริษัทให้อยู่รอดต่อไป ในที่สุดพวกเขาก็เลือกที่จะเข้ามาทำธุรกิจโทรศัพท์เคลื่อนที่แทน และก็ทำได้ดีมาจนถึงวันนี้

เมื่อมองมาที่นครสวรรค์ของเรา บางทีเราอาจต้องมาพิจารณาสภาพแวดล้อมกันใหม่ เพื่อมองหาลู่ทางใหม่ๆ ในการทำธุรกิจก็ได้ ลองค้นหาธุรกิจแบบไหนที่พวกเราถนัดทำ และเมื่อทำแล้ว คนอื่นแข่งได้ยาก มาทำกันดีกว่า

ในฐานะที่ผู้เขียนติดตามข่าวสารความเป็นไปของโลกมาตลอด สิ่งหนึ่งที่ผู้เขียนมองเห็นลู่ทางว่าน่าจะไปได้ดี ก็คือธุรกิจแปรรูปสินค้าเกษตรที่มีอยู่ในนครสวรรค์ ให้กลายเป็นสินค้าสำเร็จรูป น่าจะไปได้ดีที่สุด เนื่องจากจังหวัดเรามีผลผลิตทางด้านการเกษตรมาก ยกตัวอย่างง่ายๆ เรื่องข้าว ถ้าจะคิดกันให้ทะลุจริงๆ แล้ว เราสามารถนำข้าวมาทำอะไรเพิ่มเติมได้อีกเยอะมาก เช่น นำแกลบ ไปผลิตพลังงานไฟฟ้า นำขาวท่อนไปทำเส้นก๋วยเตี๋ยว นำรำข้าว ไปทำน้ำมัน หรือ นำข้าวไปเปลี่ยนสภาพเป้นแป้งเพื่อใช้เป็นส่วนผสมของยาก็ได้ นี่คือตัวอย่างง่ายๆ เพียงตัวอย่างเดียว หากเราช่วยกันคิด และนำสินค้าเกษตรอื่นๆ อย่างเช่น อ้อย ข้าวโพด หรือถั่วเหลือง มาสร้างสินค้าใหม่ๆ ขึ้น รับรองอีกไม่นาน ธุรกิจของนครสวรรค์ จะเปลี่ยนโฉมหน้าไปทันที

ก่อนจะจบบทความนี้ ก็อยากเป็นกำลังใจให้กับทั้งตัวเองและเพื่อนๆ นักธุรกิจที่ทำมาค้าขายด้วยกันว่า อย่าท้อนะครับ สถานะการณ์แบบนี้แหละ ที่จะพิสูจน์ขนาดของใจคน ว่าแกร่งแค่ไหน เพราะถ้าคุณผ่านไปได้ คุณก็จะมีภูมิคุ้มกันที่จะปกป้องคุณได้อีกนาน

วันอาทิตย์, มิถุนายน 17, 2550

สิ่งที่มีค่า ล้วนแต่เป็นสิ่งที่มองไม่เห็นด้วยตาเปล่า

ในอดีต นักธุรกิจมักจะวัดความเก่งหรือความมั่งคั่งด้วยวัตถุ เช่น มีโรงงานใหญ่ขนาดใหญ่ สำนักงานทันสมัย พนักงานเป็นร้อยๆ หรือ มีเครือข่ายมากแค่ไหน แต่มาถึงวันนี้ ถ้าพูดกันถึงเรื่องอย่างนี้ เขาถือกันว่าเชยสุดๆ เพราะในทุกวันนี้ รูปแบบของการทำธุรกิจได้เปลี่ยนไปแล้ว เพราะพวกเขาต่างกำลังวิ่งหนีความเป็นเจ้าของสิ่งต่างๆ ให้มากที่สุด เช่น การมีโรงงานขนาดใหญ่ที่สุด การมีพนักงานมากที่สุด หรือ เป็นบริษัทที่ใหญ่ที่สุดในโลก ไปสู่การเป็นเจ้าของสิ่งที่ “มองไม่เห็น” และจับต้องไม่ได้กันแล้ว

อ่านถึงตอนนี้ หลายคนอาจรู้สึกงงๆ ว่าทำไมเป็นอย่างนี้ เพื่อให้เห็นภาพ ผู้เขียนขอยกตัวอย่างสักสองสามตัวอย่าง ตัวอย่างแรก เลือกที่ใกล้ตัวหน่อยก็คือ ขณะนี้ สิ่งที่บริษัทภาคภูมิใจกลับไม่ใช่การมีฝูงเครื่องบินจำนวนมาก หรือ มีเครื่องบินรุ่นใหม่ล่าสุด แต่กลับเป็น “กลิ่น” และ “บรรยากาศ” ขณะที่ให้บริการบนเครื่องบินต่างหาก จะเชื่อหรือไม่ก็ตาม บริษัทนี้ ได้ทำการจดลิขสิทธ์”กลิ่น” และ ”บรรยากาศ” ไว้แล้ว ใครจะลอกเลียนไม่ได้โดยเด็ดขาด อีกตัวอย่างหนึ่งก็คือ เครือผู้บริหารโรงแรมระดับโลกแห่งหนึ่ง ได้จดลิขสิทธิ์ “กลิ่น” เฉพาะตัวที่ทางโรงแรมได้คิดค้นขึ้นจนเป็นเอกลักษณ์เฉพาะตัว โรงแรมแห่งนี้ ตั้งใจแบบชนิดที่เรียกว่า พอคุณเปิดประตูโรงแรมเข้าไป ขนาดปิดตาไว้คุณยังบอกได้เลยว่ากำลังอยู่ในโรงแรมแห่งนี้

อีกตัวอย่างหนึ่งที่ไกลตัวนิด แต่ก็เป็นเรื่องที่ไม่ไกลเกินเอื้อม ก็คือ เครื่องเล่น MP3 สุดฮิตอย่าง ipod ของบริษัทแอปเปิล หลักการออกแบบของเขาก็คือ เขาออกแบบเครื่องเล่นของเขาให้ทำงานได้ง่าย และมีเอกลักษณ์มากชนิดที่ว่า ด้านหน้าของเครื่องเล่นนี้ ไม่มีเครื่องหมายของบริษัทอยู่เลย แต่เพียงแค่คุณมองเห็นเครื่องเล่นนี้เพียงแวบเดียว คุณก็รู้ได้ทันทีว่า คนๆ นี้ กำลังใช้เครื่อง ไอพอด (ipod) อยู่ ที่เห็นได้ชัดก็คือ สายหูฟังของเครื่องรุ่นนี้ จะเป็นสายสีขาว ต่างจากเครื่องรุ่นอื่นๆ ที่มักจะใช้สีดำ

สองตัวอย่างที่ยกขึ้นมา อาจช่วยให้คุณพอจะวาดภาพออกว่า ถ้าต้องแข่งขันกันทางธุรกิจแล้ว หมดยุคแล้ว ที่จะแข่งขันกันว่า โรงงานใครจะมีขนาดใหญ่ที่สุด หรือ ใครจะมีพนักงานทำงานมากที่สุด สิ่งหนึ่งที่พวกเราต้องเร่งหามาก็คือ สิ่งที่ “มองไม่เห็น” นี่แหละ สิ่งเหล่านี้ นับวันจะมีค่ามากขึ้นเรื่อยๆ และมีความสำคัญกับความอยู่รอดของบริษัทเป็นอย่างมาก ว่ากันว่า สิ่งที่มีมูลค่าสูงที่สุดของบริษัทน้ำดื่ม “โคคาโคล่า” ก็คือ ตราสินค้านั่นเอง

สำหรับพวกเราซึ่งเป็นชาวนครสวรรค์ อย่างหนึ่งที่พวกเราต้องช่วยกันคิดก็คือ ทำอย่างไร ถึงจะมีสินค้าต่างๆ ที่เป็นยี่ห้อของตนเอง และช่วยกันสร้างตำนานหรือเรื่องราวต่างๆ ให้เป็นเอกลักษณ์เฉพาะตัว ชนิดที่ว่า หาจากที่อื่นไม่ได้ นอกจากที่นครสวรรค์เท่านั้น ถ้าทำได้ อีกไม่นาน พวกเราก็จะพ้นจากสภาพการทำงานแบบที่ต้องแข่งขันกันด้วยราคาเสียที สวัสดีครับ

วันเสาร์, เมษายน 21, 2550

ซามูไร กับ ชาวนา

เรื่องมีอยู่ว่า วันหนึ่ง ซามูไร ได้ออกไปเก็บค่าเช่าเพื่อมามอบให้กับโชกุน เมื่อซามูไร ไปพบกับชาวนา ชาวนาก็บอกว่า ปีนี้แล้งหน้าดู นาทำไว้ขายไม่ได้ราคาเลย จึงไม่มีเงินจ่ายค่าเช่านาหรอก ซามูไร ได้ยินดังนั้น ก็ชักดาบออกมา และเตรียมที่จะฟันคอชาวนาให้ตายเสียเลย แต่ระหว่างที่กำลังจะฟันลงไปนั้น ชาวนาก็เอ๋ยขึ้นมาว่า ฉันเคยได้ยินพวกซามูไรกล่าวกันว่า อย่าตัดสินใจอะไรตอนที่กำลังโกรธ ซามูไรได้ยินก็นึกขึ้นได้จึงบอกชาวนาไปว่า เอาหละ ปีนี้ฉันจะเว้นชีวิตให้ แต่ปีหน้า เมื่อฉันมา เจ้าจะต้องจ่ายค่าเช่านาย้อนหลังให้ข้า

เมื่อซามูไร กลับเข้าบ้าน เขารู้สึกโกรธเป็นอย่างมาก เมื่อเห็นเมียของเขานอนห่มผ้าห่มกับชายอีกคน เขาจึงคิดที่จะฆ่าทั้งสองคนเสีย ระหว่างที่จะฟันดาบลงไป เขาก็นึกถึงคำพูดของชาวนาเมื่อตอนกลางวันได้ จึงวางดาบลง ทันใดนั้น เมียของเขาก็เปิดผ้าห่มออกมา และปรากฏว่า คนที่นอนด้วยกับเมียของเขา คือแม่ของเขาเอง แต่แต่งตัวเป็นผู้ชาย เขาจึงตะคอกไปกับเมียว่า เจ้าทำอะไรอย่างนี้ ข้าหวิดจะฆ่าแม่ของข้าเองแล้ว

เมียซามูไรจึงพูดออกมาว่า แม่ของเจ้าแวะมาหาตอนเย็น ตกค่ำ ข้ายังไม่เห็นเจ้ากลับ จึงเกิดความกลัวว่าใครจะเข้มาทำร้าย จึงไปเอาชุดของเจ้ามาใส่ให้แม่ของเจ้า และทำทีว่าเป็นเจ้า เพื่อให้คนอื่นเกิดความกลัว จะได้ไม่เข้ามาทำร้ายเราทั้งสองคนไง

หนึ่งปีหลังจากนั้น ซามูไร กลับไปหาชาวนาคนเดิมอีกครั้ง มาครั้งนี้ ชาวนามีสีหน้าดีใจ และพูดออกมาก่อนว่า ปีนี้ น้ำดี ข้าวก็ขายได้ราคา ข้าจึงเก็บเงินค่าเช่าของปีที่แล้ว และปีนี้เตรียมไว้ให้เจ้าแล้ว

ซามูไรได้ยินดังนั้นก็พูดตอบกลับไปว่า เจ้าไม่ต้องจ่ายให้ข้าหรอก เพราะเจ้าได้จ่ายให้กับข้าไปหมดแล้วตั้งแต่ปีก่อน

วันอาทิตย์, เมษายน 08, 2550

เมื่อโลกร้อนมาเร็วกว่าที่คิด ก็ถึงเวลาที่ต้องทำอะไรสักอย่าง


สวัสดีครับ เมษามาถึงแล้ว วันสงกรานต์ก็ใกล้เข้ามาเต็มที หลายสิ่งหลายอย่งที่เด็กๆ คิดถึงก็คือ ความสนุกสนานที่ได้เล่นน้ำวันสงกรานต์กัน แต่มีอย่างหนึ่งที่ดูเหมือนจะไม่มีใครอยากให้มาเลย แต่ปีนี้ มาเร็วกว่าที่คิดเสียอีก เพราะมาตั้งแต่ปลายๆ มีนาคมเลย นั้นก็คือ ความร้อนของแดด ที่ทวีความดุเดือดขึ้นทุกปี ปีนี้ ขนาดยังไม่ถึงวันที่ร้อนที่สุด แต่อุณหภูิิมิก็ทวีขึ้นไปถึง 41 องศาเสียแล้ว ร้อนชนิดที่คำโบราณเรียกกันว่า "ร้อนตับแตก" เลยทีเดียว

ในขณะที่ประเทศไทย บ่นกันเรื่องความร้อนที่มาเร็ว ข้ามไปอีกซีกโลกหนึ่ง ที่อเมริกา ตอนนี้ กำลังงงกันไปหมด ทั้งคน และต้นไม้ เพราะขณะนี้ เข้าเดือนเมษยนแล้ว โดยปรกติ จะถือว่าเข้าสิ้นสุดฤดูหนาวไปแล้ว ดอกไม้ก็จะเริ่มออกดอก เพื่อต้อนรับฤดูใบไม้ผลิที่กำลังเข้ามาเยือน แต่อยู่ดีๆ หิมะก็กลับตกลงมาอีกครั้ง และตกมากเสียด้วย ทำให้ต้นไม้ที่ออกดอกไปแล้ว ทำอะไรไม่ถูกเลย สำหรับคนก็เหมือนกัน ที่อยู่ีดีๆ หิมะก็ตกมาเต็มบ้าน รถอีกครั้ง และไม่รู้ว่าอากาศจะวิปริตเปลี่ยนแปลงไปได้อีกแค่ไหน

ภาวะต่างๆ ที่กำลังเกิดขึ้นทั่วโลกในขณะนี้ เป็นสิ่งที่เรียกขานกันว่า "ภาวะโลกร้อน" ซึ่งเกิดขึ้นจากฝีมือมนุษย์เรานี่เอง พวกเขาปล่อยไอเสีย และสิ่งต่างๆ ออกไปอย่างมากมายในช่วง ห้าสิบปีหลังนี้ พวกเราทำลายป่า ทำลายแหล่งน้ำ และทำลายธรรมชาติทุกอย่าง โดยไม่หยุดยั้งมาโดยตลอด โดยไม่เคยนึกเลยว่า สิ่งเหล่านี้ จะส่งผลร้ายกลับมาหาเราอีกครั้งได้เร็วขนาดนี้ ทุกคนรู้ดีว่า สักวันหนึ่ง โลกจะได้รับผลจากการที่มนุษย์ทำร้าย แต่ไม่มีใครฉุกคิดว่า มันจะมาเกิดในยุคสมัยนี้ มันน่าจะมาเกิดในอีกร้อยหรือสองร้อยปีข้างหน้ามากกว่า

แม้ว่าปรากฏการณ์โลกร้อนกำลังสำแดงเดชให้เราเห็นกันบ้างแล้ว แต่ก็ยังไม่สายเกินไปที่พวกเราจะมาช่วยกันปกป้องโลกให้อยู่นานต่อไป เพื่อที่ลุูกหลายเราจะได้อาศัยอยู่อย่างสุขสบาย สิ่งต่อไปนี้ เป็นอีกหนึ่งวิธีที่พวกเราสามารถช่วยกันลดภาวะโลกร้อนได้ เช่น

1. ขับรถให้น้อยลง ขับเฉพาะเท่าที่จำเป็น
2. ใช้น้ำประปาให้น้อยลง อย่า เปิดทิ้งไว้
3. ปลูกต้นไม้ให้มากขึ้น มีที่ว่างตรงไหน ก็ปลูกทิ้งๆ ไว้ได้เลย
4. พยายามนำสิ่งของที่ใช้แล้ว กลับมาใช้ใหม่
5. เติมน้ำมันแบบที่มีสารผสมที่มาจากธรรมชาติ เช่น ก๊าซโซฮอล์
6. ประหยัดไฟ เปิดแอร์เท่าที่จำเป็น
7. อย่าใช้สิ่งของหรือวัสดุที่สร้างผลเสียให้กับสภาพแวดล้อม

ลองทำกันดูนะครับ ทำวันนี้ประหยัดได้สองต่อ ต่อที่หนึ่ง คือ ประหยัดเงินในกระเป๋าตัวเอง และอย่างที่สอง ช่วยประหยัดทรัพยากรของโลก ทำให้มีเหลือใช้นานขึ้น สวัสดี

วันอังคาร, มีนาคม 13, 2550

บริหารธุรกิจอย่างไร ให้รอดพ้นจากวงจรธุรกิจที่กำลังซบเซา

เผลอไปประเดี๋ยวเดียว ตอนนี้ พวกเราก็เข้ามาอยู่ในเดือนมีนาคมแล้ว ดูเหมือนว่า วันคืนช่างไม่รอใครเอาเสียเลย อีกไม่นานเราก็จะเข้าสู่ช่วงสงกรานต์กันแล้ว

ตั้งแต่ต้นปีเป็นต้นมา คนที่ทำธุรกิจอยู่จะรู้สึกได้เลยว่า ปีนี้เป็นปีที่โหดกว่าปีไหนๆ มองไปทางไหน สอบถามใครๆ ก็มีแต่บอกว่าเหนื่อย เพราะดูเหมือนทุกอย่างจะไม่เป็นใจให้กับการทำธุรกิจนัก ไม่ว่าจะเป็นปัญหาด้านการเมือง ระบบเศรษฐกิจ และอื่นๆ อีกมากมาย แต่สำหรับนักธุรกิจที่ดีแล้ว คำว่าถอยย่อมไม่มีอยู่ในพจณานุกรม ดังนั้น เราลองมาหาหนทางที่จะต่อสู้กับภาวะซบเซาอย่างนี้กันดีกว่า

อันดับแรก ที่ต้องทำก็คือ ต้องปรับใจให้ได้ว่า ปีนี้ยอดขาย กำไร คงไม่เหมือนกับปีที่แล้วแน่ๆ ดังนั้น ต้องบอกตัวเองให้ชัดว่า ปีนี้อย่างไปหวังลมๆ แล้งๆ ว่า จะขายได้เพิ่ม 10 เปอร์เซ็นต์ หรือ 20 เปอร์เซ็นต์ เมื่อบอกตัวเองได้แล้ว ต้องทำใจด้วย ไม่ให้เครียดด้วย เพราะถ้าเครียดแล้ว ความคิดต่างๆ จะตีบตันไปหมด ทำให้สถานการณ์ยิ่งแย่เข้าไปอีก

อันดับสอง ต้องขยันให้มากขึ้น ไอ้ความคิดแบบเดิมๆ ที่ตื่นเก้าโมงกว่าๆ ไปทำงานสองชั่วโมง เที่ยงไปกินข้าวกับเพื่อน บ่ายไปตีกอลฟ์ และค่ำๆ ก็ออกไปสังสรรค์กับเพื่อนๆ ให้ยุติได้เลย ต่อไปนี้ ต้องขยันให้มากขึ้น ตื่นเช้าๆ หน่อย เข้าทำงานให้นานขึ้น และหาเวลาว่างๆ คิดหาหนทางต่างๆ ในการเพิ่มยอดขาย หรือ วิเคราะห์ผลการทำงานต่างๆ ให้ละเอียด เพื่อหาจุดอ่อน และจุดแข็งของบริษัทฯ ให้เจอ

อันดับสาม ต้องวางแผนด้านประชาสัมพันธ์ให้มากขึ้น คนส่วนใหญ่เข้าใจผิด เมื่อเจอกับภาวะเศรษฐกิจที่ไม่ค่อยดี อันดับแรกที่นึกก็คือ ตัดงบโฆษณา ทันที ซึ่งในทางปฏิบัติแล้ว ในภาวะอย่างนี้ เราต้องเพิ่มงบโฆษณาให้มากไว้ เพราะจะช่วยให้ลูกค้ายังจดจำเราได้อยู่ ยิ่งคู่แข่งตัดงบโฆษณาออก ยิ่งช่วยให้ลูกค้าจดจำเราได้มากขึ้นไปอีก

อันดับสี่ ออกไปหาลูกค้าให้มากขึ้น อย่านั่งอยู่เฉยๆ ในสำนักงาน การออกไปหาลูกค้า ช่วยเพิ่มโอกาสให้เราได้รับออเดอร์มากขึ้น และในช่วงอย่างนี้ การไปพบลูกค้า ทำให้ลูกค้ารู้สึกมั่นใจ

อันดับห้า ตัดงบในส่วนที่ไม่จำเป็นออกให้หมด ลดค่าใช้จ่ายภายในให้เหลือเท่าที่จำเป็น เช่น งบด้านการขยายโรงงาน งบด้านการซื้อเครื่องจักรใหม่ หรือ งบด้านการซื้อรถยนต์สำหรับผู้บริหาร เป็นต้น

อันดับหก อย่าเพิ่มพนักงานใหม่ รักษาพนักงานเก่าเอาไว้ให้ดี และหาทางทำให้พนักงานเหล่านั้น ทำงานอย่างมีประสิทธิภาพเพิ่มมากขึ้น โดยไม่ต้องเพิ่มพนักงานใหม่

อันดับเจ็ด ดูแลสุขภาพจิต และสุขภาพกายของเหล่าผู้บริหารให้ดี อย่าให้ความรู้สึกไม่ดี ความเครียด และความกังวลต่างๆ มารบกวนจิตใจมาก จนทำอะไรไม่ได้ หรือ คิดอะไรไม่ออก

ทั้งหมดนี้ เป็นกลยุทธ์เบื้องต้น สำหรับใช้ในการรับมือกับสภาวะทางเศรษฐกิจในขนาดนี้ ซึ่งสำหรับนักบริหารมืออาชีพแล้ว เขาจะถือว่า นี่เป็นช่วงเวลาที่จะพิสูจน์ฝีมือให้รู้กันไปเลยว่า ใครกันแน่ที่เป็นของจริง เพราะในภาวะที่เศรษฐกิจดีๆ นั้น ไม่ว่าคนเก่งหรือไม่เก่ง ล้วนแต่ประสบความสำเร็จในการบริหารกันทั้งนั้น แต่ในภาวะแบบนี้ซิ ที่ของจริงเท่านั้นที่จะอยู่รอดได้

ในหมู่ของคนทำมาค้าขายที่เป็นคนจีนนั้น คนเก่าคนแก่มักจะสอนลูกหลานอยู่เสมอๆ ว่า ถ้าเราขายได้น้อยลง เรามีกำไรน้อยลง เราก็กินให้น้อยลงหน่อย ทุกอย่างก็จะผ่านไปได้ด้วยดี

สุดท้าย ผู้เขียนขอเป็นกำลังใจให้กับคนทำมาค้าขายทุกคน ขอให้ประคองธุรกิจให้ผ่านพ้นช่วงนี้ไปได้ เพื่อที่จะพบกับความรุ่งโรจน์ครั้งใหม่ในอนาคต สวัสดี

วันศุกร์, มีนาคม 09, 2550

ญี่ปุ่นวันนี้ เมื่อผู้ชายอยากแต่งตัวแข่งกับผู้หญิง

ช่วงระหว่างวันที่ 2-7 มีนาคมที่ผ่านมา ผมมีโอกาสพาครอบครัวไปเที่ยวที่ญี่ปุ่น ไปคราวนี้ ไปเที่ยวแบบตะลอนทัวร์ คือไปให้หลายๆ ที่ ภายในเวลาที่จำกัด โดยทัวร์ครั้งนี้ ไกด์พาไปเที่ยวตามเมืองใหญ่ๆ ของญี่ปุ่นเกือบทั้งหมด คือบินไปลงที่โอซาก้าก่อน หลังจากนั้น ก็ตะลอนเที่ยวขึ้นทางเหนือไปเรื่อยๆ ผ่านเมืองต่างๆ หลายเมือง ไปดูภูเขาไฟฟูจิ ไปดูเขาเล่นสกี ไปกินไข่ดำ กินขาปูยักษ์และอาบน้ำแร่ จนมาจบลงที่ดิสนี่แลนด์ โตเกียว

สิ่งที่ทำให้ผมรู้สึกสนุก ปนตื่นเต้นที่สุด มาอยู่ที่เมืองโตเกียวนี่แหละ เพราะมีโอกาสไปเดินชอปปิ้งที่ย่านซินจูกุ ย่านดังของวัยรุ่น ระหว่างที่เดินก็ได้เห็นการแต่งตัีวของวัยรุ่นญี่ปุ่นทั้งชาย หญิงไปพร้อมๆ กัน ความรู้สึกแรกที่ผมเห็นก็คือ คนญี่ปุ่นวันนี้ กลายเป็นฝรั่งไปกันหมดแล้ว และที่น่าแปลกใจที่สุดก็คือ เดี่ยวนี้ วัยรุ่นชาย ต่างพากันแต่งตัวแข่งกับผู้หญิงกันใหญ่ การเดินไปมากว่า สองสามชั่วโมงนั้น ความรู้สึกของผมก็คือ

อันดับแรก ทำไมวัยรุ่นเกือบทุกคนต้องย้อมสีผม เปลี่ยนจากสีดำ กลายเป็นสีทองไปกันหมด สิ่งที่สองที่สังเกตุเห็นก็คือ หน้าตาของวัยรุ่นผู้ชายนั้น ทุกคนหน้าใสกันหมด หน้าเนียนแบบผู้หญิง แต่ไว้หนวดเครา มีการกันคิ้ว และแต่งหน้าบริเวญรอบๆ ดวงตา ให้ดูดำเข้ม ตัวกับผิวขาวๆ ของตัวเอง อันดับสามที่สังเกตุก็คือ ชุดเสื้อผ้าที่ใส่ ส่วนใหญ่เป็นสีดำ เสื้อจะเป็นผ้ามันๆ ย้วยๆ เหมือนผ้าแพรแบบผู้หญิง และกางเกงยีนส์ขนาดใหญ่ที่หลวมจนเกือบจะหลุดลงมากองข้างล่าง ถ้าคุณยังนึกไม่ออกว่า เขาแต่งตัวอย่างไร ให้ดูแบบอย่างจากนักร้องวัยรุ่นดูโอชื่อดังอย่าง กอลฟ์ และไมค์ แห่งค่าย RS ได้เลย

พูดโดยสรุปแล้ว ความรู้สึกแรกที่คุณเห็นก็คือ ไอ้พวกนี้เป็นผู้ชายเต็มตัวหรือเปล่า คำตอบก็คือ คงเป็น เพราะมากับแฟนที่เป็นผู้หญิงด้วย อันดับสองก็คือ คนพวกนี้ วันๆ คงไม่ทำอะไร นอกจากเสียเวลาไปกับการแต่งตัวแน่ๆ อันดับสามก็คือ คนพวกนี้ กำลังแต่งตัวแข่งกับผู้หญิงหรือเปล่า

ในความคิดของผมแล้ว ผมคิดว่าญี่ปุ่นกำลังมีปัญหาเกี่ยวกับเรื่องของความเป็นตัวของตัวเองอย่างมาก พวกผู้ชายดูเหมือนจะไม่มีความเป็นตัวของตัวเอง ไม่อยากเป็นผู้ชาย ไม่อยากรับผิดชอบอะไรในชีวิตอีก และพากันอิจฉาผู้หญิงที่มีโอกาสแต่งตัวสวยๆ ได้ตามใจ จึงพากันไปแต่งตัวแข่งกับผู้หญิงแทน

เขียนมาแค่นี้ ยังไม่หมด แต่ขอพักก่อน แล้ว จะมาเล่าให้ฟังอีกนะครับ

วันอาทิตย์, มกราคม 21, 2550

ถ้าคุณกำลังถือแก้น้ำอยู่ จงวางลงเสียเถอะ

ขณะที่ครูกำลังสอนนักเรียน ในหัวข้อการจัดการกับแรงกดดันและความเครียด ครูได้หยิบแก้วน้ำใบหนึ่งขึ้นมาและถามว่า

พวกเธอคิดว่าแก้วน้ำใบนี้หนักเท่าไหร่ คำตอบของนักเรียนมีตั้งแต่ 2 ขีดถึง ครึ่งกิโลกรัม

มันไม่ได้ขึ้นอยู่กับน้ำหนักที่แท้จริงของแก้วว่าหนักเท่าไหร่ แต่ขึ้นอยู่กับว่าเธอถือมันไว้นานเท่าใดต่างหาก” คือคำตอบของครู

ถ้าครูถือมันไว้เพียงหนึ่งนาที ก็ไม่มีปัญหาอะไร

ถ้าครูถือมันไว้หนึ่งชั่วโมง แขนของครูก็จะปวด

ถ้าครูถือมันไว้หนึ่งวัน พวกเธอคงต้องเรียกรถพยาบาล

แม้ที่จริงจะเป็นน้ำหนักเดียวกัน แต่ยิ่งฉันถือมันไว้นานเท่าไหร่ มันก็ยิ่งหนักมากขึ้นเท่านั้น

ถ้าเราแบกภาระ (ความทุกข์ ความหนักใจ ฯลฯ) ของเราไว้ตลอดเวลา ไม่ช้าก็เร็ว ภาระนั้นจะยิ่งหนักขึ้นจนเราจะไม่สามารถแบกมันไว้ได้อีก ดังนั้นสิ่งที่เธอต้องทำคือ วางแก้วนั้นลงซะ พักสักระยะก่อนจะถือมันใหม่อีกครั้ง เราจะต้องวางสิ่งที่แบกไว้ลงเป็นระยะ เราจึงจะสามารถฟื้นพลังขึ้นมาใหม่ และสามารถแบกมันได้อีกครั้ง

ดังนั้นก่อนเธอจะกลับบ้านในคืนนี้ จงวางภาระของเธอลง อย่านำมันกลับไปบ้านด้วย เธอสามารถยกมันขึ้นมาใหม่ได้ในวันพรุ่งนี้ ไม่ว่าจะเป็นภาระใดก็ตามที่เธอแบกอยู่ในตอนนี้ วางมันลงซะสักพัก ถ้าเธอทำได้ ค่อยยกมันขึ้นมาใหม่เมื่อเธอได้พักแล้ว

ขอให้ผ่อนคลายและพักผ่อน ชีวิตคนเรานั้นสั้นนัก จงมีความสุขกับมัน

ทำธุรกิจอย่างไรให้รุ่งในปีหมู 2550

สวัสดีปีใหม่ 2550 ครับ ท่านผู้อ่านที่รักทุกท่าน เผลอไปนิดเดียว เดือนมกราคมก็กำลังจะหมดไปอีกแล้ว อีกไม่นานชาวนครสวรรค์เราก็จะฉลองตรุษจีนกันอีกแล้ว เท่าที่ทราบมา ปีนี้ชาวปากน้ำโพเขาจะร่วมมือร่วมใจกันจัดงานให้ยิ่งใหญ่สุดๆ สมกับที่สมเด็จพระเทพรัตนราชสุดา จะเสด็จมาร่วมชมกระบวนแห่ด้วย

เป็นเรื่องปรกติที่พอถึงปีใหม่ที บรรดาโหรต่างๆ ทั้งหมอดูและหมอเดาต่างก็ออกมาทำนายทายทักกันเต็มไปหมด บางก็เชื่อได้ บางก็เชื่อไม่ได้ แต่ที่น่าสังเกตก็คือ ปรกติแล้ว การทำนายของโหรแต่ละท่านจะแตกต่างกันไป ดีบ้าง ร้ายบ้าง แต่ปีนี้ เกือบทุกคนทายออกมาในทางเดียวกันว่า ปีนี้ เมืองไทยค่อนข้างจะโชคร้ายสักหน่อย จะมีเรื่องมากวนใจ และทำให้ระบบเศรษฐกิจของเราไม่ค่อยดีนัก แรกๆ ก็ไม่มีใครเชื่อสักเท่าไหร่นัก แต่พอเกิดเรื่องระเบิดในกรุงเทพเมื่อสิ้นปีที่ผ่านมา ทุกคนก็เริ่มหันมาดูคำทำนายกันใหญ่ อ่านไปมากๆ ความหวังและกำลังใจก็ลดลงเรื่อยๆ ในที่สุดก็ไม่อยากจะคิดหรือทำอะไรเลย

ในฐานะที่เป็นชาวพุทธ สิ่งแรกที่พวกเราต้องมีกันก็คือ การมีสติครับ ก่อนอื่นต้องตั้งสติให้ดี และลองพิจารณาทุกอย่างด้วยเหตุด้วยผล ซึ่งใครก็รู้ว่า หมอดูนั้นคู่กับหมอเดา ไม่มีใครในโลกนี้หรอกที่จะรู้สิ่งที่จะเกิดขึ้นในอนาคตได้ 100 % ถ้าเป็นจริงแล้ว ป่านนี้พวกเขาคงไม่ต้องทำอะไร นอกจากทำตามสิ่งที่โหรทำนายก็พอ

สิ่งต่อไปที่ต้องมีก็คือ การมีปัญญา เมื่อมีคนมาทักกันว่า ปีหมูนี้ ทุกอย่างจะเลวร้าย ไม่ว่าจะเป็นเรื่องการเมือง หรือ เรื่องเศรษฐกิจ การใช้ปัญญาข้อแรกก็คือ ต้องหันมาสำรวจธุรกิจ หรืองานที่ทำอยู่ในปัจจุบันว่า เป็นอย่างไรบ้าง และดูซิว่า มีทางไหนที่จะต้องปรับปรุงหรือ พัฒนาให้ดียิ่งขึ้นไปอีกไหม เช่น ถ้าคิดว่าปีนี้ จะค้าขายไม่ดี ก็ต้องมาดูซิว่า เราดูแลลูกค้าของเราดีแค่ไหนแล้ว มีวิธีไหนที่จะทำให้ดียิ่งขึ้นอีกหรือไม่ หรือ ถ้ารู้สึกว่าต้นทุนแพงขึ้นเรื่อยๆ ก็ต้องหาเวลามาพิจารณาดูว่า จะหาทางลดต้นทุนได้ตรงไหนบ้าง

สิ่งต่อไปที่ต้องมีก็คือ การมองหาช่องทางหรือโอกาสใหม่ๆ ในการทำธุรกิจ โลกใบนี้ไม่มีอะไรดีหรือเลวสำหรับทุกคนหรอก สิ่งที่แย่สำหรับธุรกิจหนึ่ง อาจเป็นโอกาสทองของอีกธุรกิจก็ได้ เช่น เมื่อเงินบาทแข็ง ในขณะที่ผู้ส่งออกพากันร้องโวยวายว่าขาดทุน แต่ผู้นำเข้ากลับมีความสุขอย่างมากที่สามาถสั่งของเข้ามาขายได้ในราคาที่ถูกลงเป็นต้น หรือ ขณะที่ทุกคนกำลังกังวลเรื่องความปลอดภัยในทรัพย์สิน ธุรกิจที่กำลังจะรุ่งก็คือ ธุรกิจรักษาความปลอดภัย และธุรกิจที่เกี่ยวกับกล้องวงจรปิดนั่นเอง

หลายคนอ่านแล้ว บอกว่า เรื่องอย่างนี้พื้นๆ ใครก็คิดได้ และไม่เห็นว่าจะช่วยให้ธุรกิจรุ่งได้เลย คำตอบก็คือ คนส่วนใหญ่ได้แต่คิด แต่ไม่ค่อยมีเวลาลงมือทำกัน สิ่งที่ผมอยากฝากไว้ให้พวกเราเก็บไปคิดก็คือ ในปีใหม่นี้ ถ้าอยากทำให้ธุรกิจที่ทำอยู่รุ่ง หรือ งานที่ทำอยู่ก้าวหน้า ขอให้พวกเรามาเริ่มต้นด้วยสิ่งต่อไปนี้กันเถิด อันดับแรก ต้องหยุดการเสียเวลาไปกับสิ่งที่ไร้สาระ เช่น การออกไปเที่ยวตอนกลางคืน หรือ การกินเหล้า สูบบุหรี่ หรือ หมดเวลาส่วนใหญ่ไปกับงานสังคม จนแทบไม่มีเวลาอยู่กับบ้าน ปีใหญ่นี้ ขอให้เรามาจัดเวลากันเสียใหม่ ลดการเที่ยวนอกบ้าน และใช้เวลาส่วนใหญ่ไปกับการทำงาน และอยู่บ้านมากขึ้น สิ่งต่อไปก็คือ การหาเวลาออกไปซื้อหนังสือดีๆ มาอ่านให้มาก หรือไมก็หาเวลาไปอบรม หรือ เข้าคอร์สเกี่ยวกับความก้าวหน้าใหม่ๆ เพื่อทำให้ตัวเองมีความทันสมัยมากขึ้น และสิ่งสุดท้ายก็คือ ให้หันมาพิจารณาธุรกิจที่ทำอยู่ให้จริงๆ จัง เพื่อทำให้รู้ซิว่า ต้นตอของปัญหาอยู่ที่ไหน และ จัดการให้หมดไป สิ่งสุดท้ายที่อยากฝากไว้ ก็คือ ต้องมีกำลังใจที่ดี อย่าท้อแท้ และสิ้นหวังเป็นเด็ดขาด ต้องมองไปข้างหน้า และคิดในแง่ดีไว้เสมอ ถ้าทำได้อย่างนี้ ไม่แน่ ปีที่ทุกคนคิดว่าเป็นปีที่แย่ อาจเป็นปีทองของคุณก็ได้ ใครจะไปรู้ สวัสดี

สงกรานต์ จิตสุทธิภากร