วันศุกร์, มีนาคม 09, 2550

ญี่ปุ่นวันนี้ เมื่อผู้ชายอยากแต่งตัวแข่งกับผู้หญิง

ช่วงระหว่างวันที่ 2-7 มีนาคมที่ผ่านมา ผมมีโอกาสพาครอบครัวไปเที่ยวที่ญี่ปุ่น ไปคราวนี้ ไปเที่ยวแบบตะลอนทัวร์ คือไปให้หลายๆ ที่ ภายในเวลาที่จำกัด โดยทัวร์ครั้งนี้ ไกด์พาไปเที่ยวตามเมืองใหญ่ๆ ของญี่ปุ่นเกือบทั้งหมด คือบินไปลงที่โอซาก้าก่อน หลังจากนั้น ก็ตะลอนเที่ยวขึ้นทางเหนือไปเรื่อยๆ ผ่านเมืองต่างๆ หลายเมือง ไปดูภูเขาไฟฟูจิ ไปดูเขาเล่นสกี ไปกินไข่ดำ กินขาปูยักษ์และอาบน้ำแร่ จนมาจบลงที่ดิสนี่แลนด์ โตเกียว

สิ่งที่ทำให้ผมรู้สึกสนุก ปนตื่นเต้นที่สุด มาอยู่ที่เมืองโตเกียวนี่แหละ เพราะมีโอกาสไปเดินชอปปิ้งที่ย่านซินจูกุ ย่านดังของวัยรุ่น ระหว่างที่เดินก็ได้เห็นการแต่งตัีวของวัยรุ่นญี่ปุ่นทั้งชาย หญิงไปพร้อมๆ กัน ความรู้สึกแรกที่ผมเห็นก็คือ คนญี่ปุ่นวันนี้ กลายเป็นฝรั่งไปกันหมดแล้ว และที่น่าแปลกใจที่สุดก็คือ เดี่ยวนี้ วัยรุ่นชาย ต่างพากันแต่งตัวแข่งกับผู้หญิงกันใหญ่ การเดินไปมากว่า สองสามชั่วโมงนั้น ความรู้สึกของผมก็คือ

อันดับแรก ทำไมวัยรุ่นเกือบทุกคนต้องย้อมสีผม เปลี่ยนจากสีดำ กลายเป็นสีทองไปกันหมด สิ่งที่สองที่สังเกตุเห็นก็คือ หน้าตาของวัยรุ่นผู้ชายนั้น ทุกคนหน้าใสกันหมด หน้าเนียนแบบผู้หญิง แต่ไว้หนวดเครา มีการกันคิ้ว และแต่งหน้าบริเวญรอบๆ ดวงตา ให้ดูดำเข้ม ตัวกับผิวขาวๆ ของตัวเอง อันดับสามที่สังเกตุก็คือ ชุดเสื้อผ้าที่ใส่ ส่วนใหญ่เป็นสีดำ เสื้อจะเป็นผ้ามันๆ ย้วยๆ เหมือนผ้าแพรแบบผู้หญิง และกางเกงยีนส์ขนาดใหญ่ที่หลวมจนเกือบจะหลุดลงมากองข้างล่าง ถ้าคุณยังนึกไม่ออกว่า เขาแต่งตัวอย่างไร ให้ดูแบบอย่างจากนักร้องวัยรุ่นดูโอชื่อดังอย่าง กอลฟ์ และไมค์ แห่งค่าย RS ได้เลย

พูดโดยสรุปแล้ว ความรู้สึกแรกที่คุณเห็นก็คือ ไอ้พวกนี้เป็นผู้ชายเต็มตัวหรือเปล่า คำตอบก็คือ คงเป็น เพราะมากับแฟนที่เป็นผู้หญิงด้วย อันดับสองก็คือ คนพวกนี้ วันๆ คงไม่ทำอะไร นอกจากเสียเวลาไปกับการแต่งตัวแน่ๆ อันดับสามก็คือ คนพวกนี้ กำลังแต่งตัวแข่งกับผู้หญิงหรือเปล่า

ในความคิดของผมแล้ว ผมคิดว่าญี่ปุ่นกำลังมีปัญหาเกี่ยวกับเรื่องของความเป็นตัวของตัวเองอย่างมาก พวกผู้ชายดูเหมือนจะไม่มีความเป็นตัวของตัวเอง ไม่อยากเป็นผู้ชาย ไม่อยากรับผิดชอบอะไรในชีวิตอีก และพากันอิจฉาผู้หญิงที่มีโอกาสแต่งตัวสวยๆ ได้ตามใจ จึงพากันไปแต่งตัวแข่งกับผู้หญิงแทน

เขียนมาแค่นี้ ยังไม่หมด แต่ขอพักก่อน แล้ว จะมาเล่าให้ฟังอีกนะครับ

ไม่มีความคิดเห็น: