เผลอไปประเดี๋ยวเดียว ตอนนี้ พวกเราก็เข้ามาอยู่ในเดือนมีนาคมแล้ว ดูเหมือนว่า วันคืนช่างไม่รอใครเอาเสียเลย อีกไม่นานเราก็จะเข้าสู่ช่วงสงกรานต์กันแล้ว
ตั้งแต่ต้นปีเป็นต้นมา คนที่ทำธุรกิจอยู่จะรู้สึกได้เลยว่า ปีนี้เป็นปีที่โหดกว่าปีไหนๆ มองไปทางไหน สอบถามใครๆ ก็มีแต่บอกว่าเหนื่อย เพราะดูเหมือนทุกอย่างจะไม่เป็นใจให้กับการทำธุรกิจนัก ไม่ว่าจะเป็นปัญหาด้านการเมือง ระบบเศรษฐกิจ และอื่นๆ อีกมากมาย แต่สำหรับนักธุรกิจที่ดีแล้ว คำว่าถอยย่อมไม่มีอยู่ในพจณานุกรม ดังนั้น เราลองมาหาหนทางที่จะต่อสู้กับภาวะซบเซาอย่างนี้กันดีกว่า
อันดับแรก ที่ต้องทำก็คือ ต้องปรับใจให้ได้ว่า ปีนี้ยอดขาย กำไร คงไม่เหมือนกับปีที่แล้วแน่ๆ ดังนั้น ต้องบอกตัวเองให้ชัดว่า ปีนี้อย่างไปหวังลมๆ แล้งๆ ว่า จะขายได้เพิ่ม 10 เปอร์เซ็นต์ หรือ 20 เปอร์เซ็นต์ เมื่อบอกตัวเองได้แล้ว ต้องทำใจด้วย ไม่ให้เครียดด้วย เพราะถ้าเครียดแล้ว ความคิดต่างๆ จะตีบตันไปหมด ทำให้สถานการณ์ยิ่งแย่เข้าไปอีก
อันดับสอง ต้องขยันให้มากขึ้น ไอ้ความคิดแบบเดิมๆ ที่ตื่นเก้าโมงกว่าๆ ไปทำงานสองชั่วโมง เที่ยงไปกินข้าวกับเพื่อน บ่ายไปตีกอลฟ์ และค่ำๆ ก็ออกไปสังสรรค์กับเพื่อนๆ ให้ยุติได้เลย ต่อไปนี้ ต้องขยันให้มากขึ้น ตื่นเช้าๆ หน่อย เข้าทำงานให้นานขึ้น และหาเวลาว่างๆ คิดหาหนทางต่างๆ ในการเพิ่มยอดขาย หรือ วิเคราะห์ผลการทำงานต่างๆ ให้ละเอียด เพื่อหาจุดอ่อน และจุดแข็งของบริษัทฯ ให้เจอ
อันดับสาม ต้องวางแผนด้านประชาสัมพันธ์ให้มากขึ้น คนส่วนใหญ่เข้าใจผิด เมื่อเจอกับภาวะเศรษฐกิจที่ไม่ค่อยดี อันดับแรกที่นึกก็คือ ตัดงบโฆษณา ทันที ซึ่งในทางปฏิบัติแล้ว ในภาวะอย่างนี้ เราต้องเพิ่มงบโฆษณาให้มากไว้ เพราะจะช่วยให้ลูกค้ายังจดจำเราได้อยู่ ยิ่งคู่แข่งตัดงบโฆษณาออก ยิ่งช่วยให้ลูกค้าจดจำเราได้มากขึ้นไปอีก
อันดับสี่ ออกไปหาลูกค้าให้มากขึ้น อย่านั่งอยู่เฉยๆ ในสำนักงาน การออกไปหาลูกค้า ช่วยเพิ่มโอกาสให้เราได้รับออเดอร์มากขึ้น และในช่วงอย่างนี้ การไปพบลูกค้า ทำให้ลูกค้ารู้สึกมั่นใจ
อันดับห้า ตัดงบในส่วนที่ไม่จำเป็นออกให้หมด ลดค่าใช้จ่ายภายในให้เหลือเท่าที่จำเป็น เช่น งบด้านการขยายโรงงาน งบด้านการซื้อเครื่องจักรใหม่ หรือ งบด้านการซื้อรถยนต์สำหรับผู้บริหาร เป็นต้น
อันดับหก อย่าเพิ่มพนักงานใหม่ รักษาพนักงานเก่าเอาไว้ให้ดี และหาทางทำให้พนักงานเหล่านั้น ทำงานอย่างมีประสิทธิภาพเพิ่มมากขึ้น โดยไม่ต้องเพิ่มพนักงานใหม่
อันดับเจ็ด ดูแลสุขภาพจิต และสุขภาพกายของเหล่าผู้บริหารให้ดี อย่าให้ความรู้สึกไม่ดี ความเครียด และความกังวลต่างๆ มารบกวนจิตใจมาก จนทำอะไรไม่ได้ หรือ คิดอะไรไม่ออก
ทั้งหมดนี้ เป็นกลยุทธ์เบื้องต้น สำหรับใช้ในการรับมือกับสภาวะทางเศรษฐกิจในขนาดนี้ ซึ่งสำหรับนักบริหารมืออาชีพแล้ว เขาจะถือว่า นี่เป็นช่วงเวลาที่จะพิสูจน์ฝีมือให้รู้กันไปเลยว่า ใครกันแน่ที่เป็นของจริง เพราะในภาวะที่เศรษฐกิจดีๆ นั้น ไม่ว่าคนเก่งหรือไม่เก่ง ล้วนแต่ประสบความสำเร็จในการบริหารกันทั้งนั้น แต่ในภาวะแบบนี้ซิ ที่ของจริงเท่านั้นที่จะอยู่รอดได้
ในหมู่ของคนทำมาค้าขายที่เป็นคนจีนนั้น คนเก่าคนแก่มักจะสอนลูกหลานอยู่เสมอๆ ว่า ถ้าเราขายได้น้อยลง เรามีกำไรน้อยลง เราก็กินให้น้อยลงหน่อย ทุกอย่างก็จะผ่านไปได้ด้วยดี
สุดท้าย ผู้เขียนขอเป็นกำลังใจให้กับคนทำมาค้าขายทุกคน ขอให้ประคองธุรกิจให้ผ่านพ้นช่วงนี้ไปได้ เพื่อที่จะพบกับความรุ่งโรจน์ครั้งใหม่ในอนาคต สวัสดี
วันอังคาร, มีนาคม 13, 2550
วันศุกร์, มีนาคม 09, 2550
ญี่ปุ่นวันนี้ เมื่อผู้ชายอยากแต่งตัวแข่งกับผู้หญิง
ช่วงระหว่างวันที่ 2-7 มีนาคมที่ผ่านมา ผมมีโอกาสพาครอบครัวไปเที่ยวที่ญี่ปุ่น ไปคราวนี้ ไปเที่ยวแบบตะลอนทัวร์ คือไปให้หลายๆ ที่ ภายในเวลาที่จำกัด โดยทัวร์ครั้งนี้ ไกด์พาไปเที่ยวตามเมืองใหญ่ๆ ของญี่ปุ่นเกือบทั้งหมด คือบินไปลงที่โอซาก้าก่อน หลังจากนั้น ก็ตะลอนเที่ยวขึ้นทางเหนือไปเรื่อยๆ ผ่านเมืองต่างๆ หลายเมือง ไปดูภูเขาไฟฟูจิ ไปดูเขาเล่นสกี ไปกินไข่ดำ กินขาปูยักษ์และอาบน้ำแร่ จนมาจบลงที่ดิสนี่แลนด์ โตเกียว
สิ่งที่ทำให้ผมรู้สึกสนุก ปนตื่นเต้นที่สุด มาอยู่ที่เมืองโตเกียวนี่แหละ เพราะมีโอกาสไปเดินชอปปิ้งที่ย่านซินจูกุ ย่านดังของวัยรุ่น ระหว่างที่เดินก็ได้เห็นการแต่งตัีวของวัยรุ่นญี่ปุ่นทั้งชาย หญิงไปพร้อมๆ กัน ความรู้สึกแรกที่ผมเห็นก็คือ คนญี่ปุ่นวันนี้ กลายเป็นฝรั่งไปกันหมดแล้ว และที่น่าแปลกใจที่สุดก็คือ เดี่ยวนี้ วัยรุ่นชาย ต่างพากันแต่งตัวแข่งกับผู้หญิงกันใหญ่ การเดินไปมากว่า สองสามชั่วโมงนั้น ความรู้สึกของผมก็คือ
อันดับแรก ทำไมวัยรุ่นเกือบทุกคนต้องย้อมสีผม เปลี่ยนจากสีดำ กลายเป็นสีทองไปกันหมด สิ่งที่สองที่สังเกตุเห็นก็คือ หน้าตาของวัยรุ่นผู้ชายนั้น ทุกคนหน้าใสกันหมด หน้าเนียนแบบผู้หญิง แต่ไว้หนวดเครา มีการกันคิ้ว และแต่งหน้าบริเวญรอบๆ ดวงตา ให้ดูดำเข้ม ตัวกับผิวขาวๆ ของตัวเอง อันดับสามที่สังเกตุก็คือ ชุดเสื้อผ้าที่ใส่ ส่วนใหญ่เป็นสีดำ เสื้อจะเป็นผ้ามันๆ ย้วยๆ เหมือนผ้าแพรแบบผู้หญิง และกางเกงยีนส์ขนาดใหญ่ที่หลวมจนเกือบจะหลุดลงมากองข้างล่าง ถ้าคุณยังนึกไม่ออกว่า เขาแต่งตัวอย่างไร ให้ดูแบบอย่างจากนักร้องวัยรุ่นดูโอชื่อดังอย่าง กอลฟ์ และไมค์ แห่งค่าย RS ได้เลย
พูดโดยสรุปแล้ว ความรู้สึกแรกที่คุณเห็นก็คือ ไอ้พวกนี้เป็นผู้ชายเต็มตัวหรือเปล่า คำตอบก็คือ คงเป็น เพราะมากับแฟนที่เป็นผู้หญิงด้วย อันดับสองก็คือ คนพวกนี้ วันๆ คงไม่ทำอะไร นอกจากเสียเวลาไปกับการแต่งตัวแน่ๆ อันดับสามก็คือ คนพวกนี้ กำลังแต่งตัวแข่งกับผู้หญิงหรือเปล่า
ในความคิดของผมแล้ว ผมคิดว่าญี่ปุ่นกำลังมีปัญหาเกี่ยวกับเรื่องของความเป็นตัวของตัวเองอย่างมาก พวกผู้ชายดูเหมือนจะไม่มีความเป็นตัวของตัวเอง ไม่อยากเป็นผู้ชาย ไม่อยากรับผิดชอบอะไรในชีวิตอีก และพากันอิจฉาผู้หญิงที่มีโอกาสแต่งตัวสวยๆ ได้ตามใจ จึงพากันไปแต่งตัวแข่งกับผู้หญิงแทน
เขียนมาแค่นี้ ยังไม่หมด แต่ขอพักก่อน แล้ว จะมาเล่าให้ฟังอีกนะครับ
ื
สิ่งที่ทำให้ผมรู้สึกสนุก ปนตื่นเต้นที่สุด มาอยู่ที่เมืองโตเกียวนี่แหละ เพราะมีโอกาสไปเดินชอปปิ้งที่ย่านซินจูกุ ย่านดังของวัยรุ่น ระหว่างที่เดินก็ได้เห็นการแต่งตัีวของวัยรุ่นญี่ปุ่นทั้งชาย หญิงไปพร้อมๆ กัน ความรู้สึกแรกที่ผมเห็นก็คือ คนญี่ปุ่นวันนี้ กลายเป็นฝรั่งไปกันหมดแล้ว และที่น่าแปลกใจที่สุดก็คือ เดี่ยวนี้ วัยรุ่นชาย ต่างพากันแต่งตัวแข่งกับผู้หญิงกันใหญ่ การเดินไปมากว่า สองสามชั่วโมงนั้น ความรู้สึกของผมก็คือ
อันดับแรก ทำไมวัยรุ่นเกือบทุกคนต้องย้อมสีผม เปลี่ยนจากสีดำ กลายเป็นสีทองไปกันหมด สิ่งที่สองที่สังเกตุเห็นก็คือ หน้าตาของวัยรุ่นผู้ชายนั้น ทุกคนหน้าใสกันหมด หน้าเนียนแบบผู้หญิง แต่ไว้หนวดเครา มีการกันคิ้ว และแต่งหน้าบริเวญรอบๆ ดวงตา ให้ดูดำเข้ม ตัวกับผิวขาวๆ ของตัวเอง อันดับสามที่สังเกตุก็คือ ชุดเสื้อผ้าที่ใส่ ส่วนใหญ่เป็นสีดำ เสื้อจะเป็นผ้ามันๆ ย้วยๆ เหมือนผ้าแพรแบบผู้หญิง และกางเกงยีนส์ขนาดใหญ่ที่หลวมจนเกือบจะหลุดลงมากองข้างล่าง ถ้าคุณยังนึกไม่ออกว่า เขาแต่งตัวอย่างไร ให้ดูแบบอย่างจากนักร้องวัยรุ่นดูโอชื่อดังอย่าง กอลฟ์ และไมค์ แห่งค่าย RS ได้เลย
พูดโดยสรุปแล้ว ความรู้สึกแรกที่คุณเห็นก็คือ ไอ้พวกนี้เป็นผู้ชายเต็มตัวหรือเปล่า คำตอบก็คือ คงเป็น เพราะมากับแฟนที่เป็นผู้หญิงด้วย อันดับสองก็คือ คนพวกนี้ วันๆ คงไม่ทำอะไร นอกจากเสียเวลาไปกับการแต่งตัวแน่ๆ อันดับสามก็คือ คนพวกนี้ กำลังแต่งตัวแข่งกับผู้หญิงหรือเปล่า
ในความคิดของผมแล้ว ผมคิดว่าญี่ปุ่นกำลังมีปัญหาเกี่ยวกับเรื่องของความเป็นตัวของตัวเองอย่างมาก พวกผู้ชายดูเหมือนจะไม่มีความเป็นตัวของตัวเอง ไม่อยากเป็นผู้ชาย ไม่อยากรับผิดชอบอะไรในชีวิตอีก และพากันอิจฉาผู้หญิงที่มีโอกาสแต่งตัวสวยๆ ได้ตามใจ จึงพากันไปแต่งตัวแข่งกับผู้หญิงแทน
เขียนมาแค่นี้ ยังไม่หมด แต่ขอพักก่อน แล้ว จะมาเล่าให้ฟังอีกนะครับ
ื
สมัครสมาชิก:
บทความ (Atom)