วันนี้ พวกเราได้รับสัญญาณว่า จะต้องเข้ามาพร้อมกันที่พรรค ก่อน 6 โมงเช้า พวกเราทยอยมากันเรื่อยๆ บรรยากาศที่พรรค เริ่มต้นตั้งแต่ ตี 4 ของวันที่ 30 ประธาน ส.ส. มาจัดการเรื่องรถต่างๆ เป็นคนแรก เพื่อเตรียมความพร้อมให้มากที่สุด เมื่อถึงเวลา 6 โมงเช้า ได้มีการเรียกประชุม ส.ส. และมีการชื้แจ้งสถานการณ์ โดยท่านเลขาฯ ท่านเลขาได้แจ้งให้ทราบว่า แผนการต่างๆ ที่พวกเรากำหนดกันไว้ ตอนนี้ ฝ่ายตรงข้ามรู้หมดแล้ว และดูเหมือนพวกเราจะเข้าไปแถลงนโยบายไม่ได้ แต่ท่านเลขาฯ ก็จะพยายาม โดยบอกให้พวกเรา รอสัญญาญ จากทางตำรวจ ซึ่งจะพยายามเปิดทางเข้าให้ได้ เมื่อเปิดได้แล้ว ก็จะแจ้งให้ทางเราทราบ พวกเราจึงต้องพร้อมตลอดเวลา ที่จะเคลื่อนย้ายไปรัฐสภาโดยเร็วที่สุด
เมื่อเวลาประมาณ 6.30 น. เลขาฯ ก็ส่งสัญญาณว่า ตำรวจเริ่มปฏิบัติการแล้ว ขอให้พวกเรารีบขึ้นรถโดยด่วน ผมเองอาสาขึ้นรถคันแรกเลย เมื่อขึ้นแล้ว พวกเราก็ต้องมานั่งอัดกันแน่น 14 คน ในรถตู้คันเดียว รอไปสักพัก ก็มีข่าวมาว่า คงเข้าไม่ได้แล้ว เพราะพวก นปช. ปิดทางเข้าหมดทุกทาง สิ่งที่ทำได้ก็คือ นั่งรอในรถ ระหว่างรอ ก็มีการส่งเสบียงให้กัน เพื่อประทังหิวกันไป พวกเรารอกันอยู่ประมาณเกือบชั่วโมง ปฏิบัติการก็เริ่มต้น
รถเริ่มเคลื่อนออกจากหน้าพรรคฯ ไปทางรัฐสภา บรรยากาศและความรุ้สึกตอนนั้น ตื่นเต้นมาก เพราะเหมือนกับกำลังจะออกไปรบ โดยไม่รุ้ว่า จะเจอกับอะไรบ้าง แต่เมื่อรถเข้าใกล้รัฐสภา กลับไม่เข้ารัฐสภา แต่เลยไป ที่สโมสรทหารบกแทน ทำเอาทุกคน งง กันไปหมด โดยเกือบทุกคนไม่รู้ว่า จะเกิดอะไรขึ้น พวกเรานั่งกันอยุ่สักพัก ก็มีคำสั่งให้เคลื่อนย้ายอีกครั้ง โดยไม่มีใครรู้จุดหมายปลายทาง
รถเริ่มเคลื่อนออกจากสโมสรทหารบก แต่ไม่รู้ว่าจะไปไหน รถวิ่งไปเรื่อยๆ คล้ายกับจะเข้าไปประชุม แต่กลับวิ่งเลยไปอีกครั้ง โดยในครั้งนี้ รถวิ่งเข้าไปที่กระทรวงต่างประเทศ และปล่อยให้พวกเราเข้าไปในห้องรับรองแคบๆ ห้องหนึ่ง โดยปรากฏว่า ส.ส. กลุ่มเพื่อนเนวิน และ พรรคร่วมรัฐบาลได้มารอก่อนแล้ว
หลังจากนั้น นิดเดียว ก็มีประกาศทาง SMS ว่า ท่านประธานรัฐสภาได้กำหนดให้มีการประชุมที่กระทรวงต่างประเทศ แทน ในเวลาประมาณ 11 โมง ทุกอย่างก็เป็นอันว่า เสร็จสมบูรณ์ 100 เปอร์เซ็นต์
เมื่อถึงเวลา ปรากฏว่า มีสมาชิก ส.ส. และ ส.ว. เข้าร่วมประชุมจำนวน 330 คน ครบองค์ประชุม และมีการแถลงนโยบายได้เป็นที่เรียบร้อย
เมื่อการแถลงจบ พวกเรา็ก็ต้องมาขึ้นรถตู้อีกครั้ง และต้องรอประมาณ 40 นาที ก่อนที่จะเคลื่อนย้ายออกจากกระทรวงต่างประเทศได้ ทุกอย่างเป็นอันสิ้นสุด
วันพุธ, ธันวาคม 31, 2551
วันจันทร์, ธันวาคม 29, 2551
วันที่รอคอย วันแถลงนโยบายรัฐบาล
ถ้าไม่มีสิ่งผิดปรกติ วันที่ 29 ธันวาคม 2551 จะเป็นวันแถลงนโยบายของรัฐบาล นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นายกคนที่ 27 ของไทย และหลังจากนั้น จะได้เริ่มต้นการทำงานกันเสียที แต่เมื่อเป็นเรื่องการเมืองแล้ว ทุกอย่างเกิดขึ้นได้ โดยตั้งแต่คืนวันที่ 28 ก็มีกลุ่ม นปช เคลื่อนที่จากสนามหลวง เข้ามาปิดประตูรัฐสภา เพื่อไม่ให้พวก ส.ส. เข้าไปในสภาได้ สำหรับพวกเราแล้ว เรานัดรวมตัวกันตั้งแต่ 7 โมงเช้าที่พรรค และมีการประเมินสถานการณ์กันโดยตลอด เมื่อถึงเวลา ท่านเลขา ก็แจ้งให้ทราบว่า การประชุมต้องเลื่อนออกไป เนื่องจากไม่สามารถนำรถเข้าไปได้ (นปช บอกว่า เข้าได้ แต่ต้องเดินเท้าเข้าไปเท่านั้น) เมื่อเป็นอย่างนี้ สิ่งเดียวที่ทำได้ก็คือ นั่งๆ นอนๆ กันในพรรค โดยไปไหนมาไหนก็ไม่ได้ เนื่องจากไม่รู้ว่า จะเข้าได้เมื่อไหร่ และเลขาฯ ก็กำชับว่า ต้องเตรียมพร้อมอยู่ตลอดเวลา ทำให้พวกเราได้แต่ เดินไป เดินมา ในพรรค เดินขึ้น เดินลง นั่งๆ และนอนๆ กันทั่วไปหมด พวกเรารอจนถึงประมาณ สามโมงเย็น ก็มีการเรียกประชุมอีกครั้ง โดยในครั้งนี้ มีการเตริียมความพร้อมกัน ว่าจะทำอย่างไรต่อไป ในตอนแรก คิดว่า ประมาณ ห้าโมงเย็น ก็คงจะเข้าได้ แต่ในที่สุด ก็เข้าไม่ได้ และได้มีการนัดหมายกันใหม่ ให้มาตอนเก้าโมงเช้าของวันรุ่งขึ้นแทน
ตกลงว่า วันนี้ เป็นวันแห่งการรอคอยที่แท้จริง รอกันทั้งวัน และก็ไม่ได้ทำอะไรเลย
ตกลงว่า วันนี้ เป็นวันแห่งการรอคอยที่แท้จริง รอกันทั้งวัน และก็ไม่ได้ทำอะไรเลย
วันอังคาร, ธันวาคม 23, 2551
สัมผัสนายกคนที่ 27 ของไทย
เมื่อวันที่ 20 ธันวาคมที่ผ่านมา ผมมีโอกาสได้สัมผัสกับนายกรัฐมนตรี คนที่ 27 ของไทย แบบใกล้ชิดเป็นพิเศษสักหน่อย จึงอยากนำมาเล่าให้ฟังกันสักนิด เนื่องจากไม่อยากเก็บความรู้สึกดีๆ อย่างนี้ ไว้คนเดียว
วันที่ 20 ธันวาคมที่ผ่านมา เป็นวันที่พรรคประชาธิปัตย์ได้มีการจัดสัมมนา ส.ส. ขึ้น โดยกำหนดไว้ล่วงหน้าแล้ว ขณะที่ยังเป็นฝ่ายค้านอยู่ ในตอนแรก ตั้งใจจะใช้เป็นเวทีสำหรับการแสดงความคิดเห็นต่างๆ เพื่อนำมาใช้เป็นแนวทางในการทำงานของพรรค ในปีต่อไป แต่เนื่องจากเหตุการณ์เกิดผลิกผัน และพรรค ประชาธิปัตย์ ได้เป็นแกนนำในการจัดตั้งรัฐบาล หัวหน้าอภิสิทธิ์ของพวกเรา ก็เลยกลายเป็นนายกรัฐมนตรี ไปอีกต่ำแหน่งหนึ่ง
เพื่อไม่ให้เสียเวลา จะเข้าเรื่องเลยดีกว่า วันนั้น ระหว่างที่พักรับประทานข้าวเที่ยงอยู่ ที่โรงแรม Boat House อยู่ๆ ท่านนายกฯ ก็เดินมา และถามว่า ที่นั่งข้างๆ ผมว่างหรือเปล่า ผมตอบทันทีว่า ว่างครับ (ใคร จะกล้าตอบว่า ไม่ว่าง ) ท่านก็นั่งลง และร่วมรับประทานอาหารกับพวกเราทันที โดยในระหว่างนั้น ท่าน นายกฯ ก็ได้หยิบยกปัญหาเรื่องข้าวโพด และปัญหาต่างๆ มาคุยอย่างเป็นกันเอง โดยเราแทบไม่รู้สึกตัวเลยว่า กำลังพูดคุยกับนายกอยู่ ผมอยากสารภาพตามตรงว่า ตั้งแต่ผมอยู่ พรรค มาเกือบ 12 ปี ผมแทบจะไม่เคยมีโอกาสได้พูดคุยกับท่าน นายกแบบนี้เลย และนี่เป็นช่วงเวลาที่ดีที่สุดของผมแล้ว ผมต้องใช้ให้คุ้มที่สุด เท่าที่จะทำได้
เมื่อคิดได้อย่างนี้ ผมก็ถือโอกาสสอบถามเรื่องแนวนโยบายของพรรค ที่จะนำมาใช้เป็นนโยบายของรัฐบาลทันที โดยผมได้สอบถาม และย้ำว่า แนวนโยบายที่พวกเราได้นำไปใช้ในระหว่างที่หาเสียงอยู่ เช่น นโยบายให้เบี้ยยังชีพคนแก่ เงินเบี้ยเลี้ยง อสม และนโยบายเรียนฟรี ควรจะนำมาใช้โดยเร็ว ซึ่งท่านนายกก็รับปากว่า จะนำมาปฏิบัติโดยเร็ว
ความรู้สึกหนึ่งที่เกิดขึ้นหลังจากที่ได้พูดคุยกับนายกฯ ก็คือ ท่านเป็นคนเก่งมาก และเป็นคนที่มีจิตใจดี และพร้อมที่จะทำงานอย่างหนัก เพื่อนำประเทศชาติให้อยู่รอดได้
วันที่ 20 ธันวาคมที่ผ่านมา เป็นวันที่พรรคประชาธิปัตย์ได้มีการจัดสัมมนา ส.ส. ขึ้น โดยกำหนดไว้ล่วงหน้าแล้ว ขณะที่ยังเป็นฝ่ายค้านอยู่ ในตอนแรก ตั้งใจจะใช้เป็นเวทีสำหรับการแสดงความคิดเห็นต่างๆ เพื่อนำมาใช้เป็นแนวทางในการทำงานของพรรค ในปีต่อไป แต่เนื่องจากเหตุการณ์เกิดผลิกผัน และพรรค ประชาธิปัตย์ ได้เป็นแกนนำในการจัดตั้งรัฐบาล หัวหน้าอภิสิทธิ์ของพวกเรา ก็เลยกลายเป็นนายกรัฐมนตรี ไปอีกต่ำแหน่งหนึ่ง
เพื่อไม่ให้เสียเวลา จะเข้าเรื่องเลยดีกว่า วันนั้น ระหว่างที่พักรับประทานข้าวเที่ยงอยู่ ที่โรงแรม Boat House อยู่ๆ ท่านนายกฯ ก็เดินมา และถามว่า ที่นั่งข้างๆ ผมว่างหรือเปล่า ผมตอบทันทีว่า ว่างครับ (ใคร จะกล้าตอบว่า ไม่ว่าง ) ท่านก็นั่งลง และร่วมรับประทานอาหารกับพวกเราทันที โดยในระหว่างนั้น ท่าน นายกฯ ก็ได้หยิบยกปัญหาเรื่องข้าวโพด และปัญหาต่างๆ มาคุยอย่างเป็นกันเอง โดยเราแทบไม่รู้สึกตัวเลยว่า กำลังพูดคุยกับนายกอยู่ ผมอยากสารภาพตามตรงว่า ตั้งแต่ผมอยู่ พรรค มาเกือบ 12 ปี ผมแทบจะไม่เคยมีโอกาสได้พูดคุยกับท่าน นายกแบบนี้เลย และนี่เป็นช่วงเวลาที่ดีที่สุดของผมแล้ว ผมต้องใช้ให้คุ้มที่สุด เท่าที่จะทำได้
เมื่อคิดได้อย่างนี้ ผมก็ถือโอกาสสอบถามเรื่องแนวนโยบายของพรรค ที่จะนำมาใช้เป็นนโยบายของรัฐบาลทันที โดยผมได้สอบถาม และย้ำว่า แนวนโยบายที่พวกเราได้นำไปใช้ในระหว่างที่หาเสียงอยู่ เช่น นโยบายให้เบี้ยยังชีพคนแก่ เงินเบี้ยเลี้ยง อสม และนโยบายเรียนฟรี ควรจะนำมาใช้โดยเร็ว ซึ่งท่านนายกก็รับปากว่า จะนำมาปฏิบัติโดยเร็ว
ความรู้สึกหนึ่งที่เกิดขึ้นหลังจากที่ได้พูดคุยกับนายกฯ ก็คือ ท่านเป็นคนเก่งมาก และเป็นคนที่มีจิตใจดี และพร้อมที่จะทำงานอย่างหนัก เพื่อนำประเทศชาติให้อยู่รอดได้
สมัครสมาชิก:
บทความ (Atom)