เวลาผ่านไปเดี๋ยวเดียว ใครจะไปนึกว่า วิกฤติภาวะฟองสบู่แตก จนรัฐบาลต้องประกาศลอยค่าเงินบาท เมื่อวันที่ 2 กรกฏาคม 2540 จะผ่านไปนานถึง 10 ปีแล้ว จนถึงวันนี้ กรฏาคม 2550 เวลานี้ หลายคนก็ยังรู้สึกหวั่นใจว่า เหตุการณ์เลวร้ายเมื่อสิบปีก่อน จะกลับมาตามหลอกหลอนอีกครั้ง แต่เมื่ออ่านคำวิจารณ์ของนักวิชาการด้านการเงิน หรือ อาจารย์ต่างๆ ที่ออกมาแสดงความคิดเห็น หลายคนพูดเป็นเสียงเดียวกันว่า เมืองไทย คงไม่ประสบกับภาวะฟองสบู่แตกอีกแล้ว เพราะโครงสร้างทางเศรษฐกิจของไทยเปลี่ยนแปลงไปมากในช่วงสิบปีทีผ่านมา
แต่ถ้าเราลองไปถามบรรดาพ่อค้า นักธุรกิจตามหัวเมืองต่างๆ ดู ความรู้สึกที่ได้จะแตกต่างจากจากบรรดานักวิชาการโดยสิ้นเชิง เพราะต่างพูดเป็นเสียงเดียวกันว่า ภาวะทางเศรษฐกิจกำลังแย่มาก กำลังซื้อในต่างจังหวัดแทบจะไม่มีเลย หลายคนบ่นกันมาก ว่าเงินในตลาดหายไปไหนหมด บรรดาเถ้าแก่ใหญ่ๆ อย่าง เจ้าของมาม่า ยังออกมาบ่นเสียงดังๆ เลยว่า ตั้งแต่ทำธุรกิจมา ไม่เคยเจอภาวะแบบนี้มาก่อน แม้กระทั้งเมื่อสิบปีที่แล้ว ก็ยังดีกว่านี้ มองไปที่บรรดาผู้ขายรถยนต์ ต่างก็บอกกันว่า ยอดขายรถยนต์ตกลงอย่างมาก ไม่รู้จะแก้ไขให้ดีกลับมาเป็นเหมือนเดิมได้อย่างไร ?
เมื่อพวกเราส่วนใหญ่ทำการค้ากัน และทำเป็นอยู่อย่างเดียว จะให้ไปทำอย่างอื่นก็คงไม่ได้ ดังนั้น หนทางเดียวที่เหลืออยู่ ก็คือ เปลี่ยนวิกฤตให้เป็นโอกาสเสียเลย ถ้าจะบอกว่า บริษัท Nokia เจ้าพ่อแห่งวงการโทรศัพท์มือถือในปัจจุบันนี้ เมื่อร้อยกว่าปีก่อน ธุรกิจที่บริษัทนี้ทำคือ บริษัททำไม้ หรือที่เราเรียกกันว่า โรงเลื่อย คุณจะเชื่อไหม
Nokia เป็นบริษัทที่มอายุยืนมากว่า 100 ปีแล้ว ตอนเปิดบริษัทใหม่ๆ ประเทศของเขามีแต่ป่าไม้เท่านั้น ที่ทำได้ บริษัททำมาเรื่อยๆ จนป่าแทบหมด และไม่รู้จะหันหน้าไปทำธุรกิจอะไรแล้ว จึงหันมารวมหัวกันเพื่อหาธุรกิจใหม่ ที่จะนำพาบริษัทให้อยู่รอดต่อไป ในที่สุดพวกเขาก็เลือกที่จะเข้ามาทำธุรกิจโทรศัพท์เคลื่อนที่แทน และก็ทำได้ดีมาจนถึงวันนี้
เมื่อมองมาที่นครสวรรค์ของเรา บางทีเราอาจต้องมาพิจารณาสภาพแวดล้อมกันใหม่ เพื่อมองหาลู่ทางใหม่ๆ ในการทำธุรกิจก็ได้ ลองค้นหาธุรกิจแบบไหนที่พวกเราถนัดทำ และเมื่อทำแล้ว คนอื่นแข่งได้ยาก มาทำกันดีกว่า
ในฐานะที่ผู้เขียนติดตามข่าวสารความเป็นไปของโลกมาตลอด สิ่งหนึ่งที่ผู้เขียนมองเห็นลู่ทางว่าน่าจะไปได้ดี ก็คือธุรกิจแปรรูปสินค้าเกษตรที่มีอยู่ในนครสวรรค์ ให้กลายเป็นสินค้าสำเร็จรูป น่าจะไปได้ดีที่สุด เนื่องจากจังหวัดเรามีผลผลิตทางด้านการเกษตรมาก ยกตัวอย่างง่ายๆ เรื่องข้าว ถ้าจะคิดกันให้ทะลุจริงๆ แล้ว เราสามารถนำข้าวมาทำอะไรเพิ่มเติมได้อีกเยอะมาก เช่น นำแกลบ ไปผลิตพลังงานไฟฟ้า นำขาวท่อนไปทำเส้นก๋วยเตี๋ยว นำรำข้าว ไปทำน้ำมัน หรือ นำข้าวไปเปลี่ยนสภาพเป้นแป้งเพื่อใช้เป็นส่วนผสมของยาก็ได้ นี่คือตัวอย่างง่ายๆ เพียงตัวอย่างเดียว หากเราช่วยกันคิด และนำสินค้าเกษตรอื่นๆ อย่างเช่น อ้อย ข้าวโพด หรือถั่วเหลือง มาสร้างสินค้าใหม่ๆ ขึ้น รับรองอีกไม่นาน ธุรกิจของนครสวรรค์ จะเปลี่ยนโฉมหน้าไปทันที
ก่อนจะจบบทความนี้ ก็อยากเป็นกำลังใจให้กับทั้งตัวเองและเพื่อนๆ นักธุรกิจที่ทำมาค้าขายด้วยกันว่า อย่าท้อนะครับ สถานะการณ์แบบนี้แหละ ที่จะพิสูจน์ขนาดของใจคน ว่าแกร่งแค่ไหน เพราะถ้าคุณผ่านไปได้ คุณก็จะมีภูมิคุ้มกันที่จะปกป้องคุณได้อีกนาน